‘สิว’ นับว่าเป็นปัญหาระดับชาติที่คนไม่เป็นสิวอาจไม่เข้าใจ เพราะต่อให้รักษาสิวดีแค่ไหนหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่แพงสักเท่าไหร่มันก็ยังกลับมาขึ้นซ้ำ ๆ เป็นสิวเรื้อรังไม่หายสักที บางครั้งสิวเม็ดเดิมรักษาจนหายแล้วแต่พอสักระยะเวลาหนึ่งมันก็มักจะมีสิวเม็ดใหม่เกิดขึ้นมาเสมอ เชื่อได้เลยว่าเหตุการ์ณนี้มักเกิดขึ้นกับใครหลายคนไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย หรือวัยไหนก็ตาม โดยปัจจัยของการเกิดสิวของแต่ละคนนั้นอาจแตกต่างกันตามพื้นฐานของสภาพผิวรวมถึงการใช้ชีวิตประจำวัน แต่เราสามารถจัดการกับมันได้หากเรารู้ถึงต้นตอที่แท้จริงและจัดการสิวได้ถูกต้องแบบตรงจุด งั้นเรามาทำความรู้จักกับ ‘สิว’ เพื่อจัดการกับมันกันดีกว่า
สาเหตุของการเกิดสิว
การเป็นสิวเกิดขึ้นจากต่อมไขมัน (sebaceous) อักเสบ จึงสังเกตุได้ว่าสิวมักจะขึ้นในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ใบหน้า หน้าอก คอ ไหล่ หรือต้นแขน โดยสาเหตุที่ก่อให้เกิดสิวมาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนแอนโดรเจน
สามารถพบได้สูงในช่วงวัยรุ่นโดยเฉพาะผู้ชาย โดยฮอร์โมนชนิดนี้จะเข้าไปกระตุ้นต่อมไขมันให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิมเป็นสาเหตุของหน้ามันมากขึ้น และระหว่างที่ไขมันกำลังเดินทางไปสู่ปาก อาจเกิดไปผสมเข้ากับแบคทีเรียและเซลล์ผิวในรูขุมขนที่ตายแล้วทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตันและกลายเป็นสุดอุดตันได้ในที่สุด
- การมีประจำเดือน
เมื่อผู้หญิงมีประจำเดือนระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีการบวมของรูขุมขนและการคั่งของน้ำในร่างกาย จึงทำให้ผู้หญิงบางคนมีสิวเห่อมากขึ้นทั้งก่อนและระหว่างมีประจำเดือน
- อาหาร
หลายคนอาจเคยได้ยินคนบอกว่าถ้าหากกินช็อกโกแลตหรืออาหารมัน ๆ เยอะ สิวจะขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่มีการศึกษาวิจัยใด ๆ ที่ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว แต่หากคุณสังเกตว่าเมื่อกินอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งแล้วสิวแย่ลงให้ลองหลีกเลี่ยงแล้วดูว่าสิวมีอาการดีขึ้นหรือไม่
- ความเครียด
เมื่อร่างกายเกิดความเครียดจะกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น
- ยารักษาโรค
ยาบางชนิดอาจก่อให้เกิดสิวได้ เช่น สเตียรอยด์และลิเธียม
- กรรมพันธ์ุ
หากพ่อและแม่มีสิวมากในช่วงวัยรุ่น อาจจะถูกส่งต่อมายังลูกทำให้ช่วงวัยรุ่นของลูกก็มีโอกาสเป็นสิวได้เช่นกัน
การรักษาสิวต้องใช้ระยะเวลานานและความใจเย็นพอสมควร ปัจจุบันก็มีทั้งการทายาและรับประทานยา ซึ่งวิธีการใช้ก็จะแตกต่างกันไปตามประเภทและความรุนแรงของสิว เราจึงควรรู้จักสิวที่เป็นเพื่อการรักษาและป้องกันได้อย่างถูกต้องตรงจุด
ทำความรู้จักกับสิว 5 ประเภท พร้อมวิธีจัดการสิว
-
สิวหัวดำ (Blackheads)
‘สิวหัวดำ’ เป็นสิวอุดตันที่เราจะเห็นเป็นจุดสีดำ ๆ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนได้อย่างชัดเจน ซึ่งจุดดำ ๆ ที่เราเห็นนั้นคือน้ำมันในผิวหนังที่ถูกทำปฏิกิริยา oxidation กับออกซิเจนในอากาศ จึงทำให้ไขมันกลายเป็นสีดำ ซึ่งส่วนใหญ่จะพบได้ในบริเวณที่มีน้ำมันมากอย่าง T-Zone คือ หน้าผาก จมูก และคาง
วิธีรักษา : ให้ทายาที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide ซึ่งจะช่วยรักษาสิวอุดตันโดยเฉพาะ มันสามารถช่วยลดการอุดตันและเปิดรูขุมขนได้ทำให้สิวอุดตันออกมาได้ง่ายขึ้น และอีกวิธีหนึ่งคือการใช้กรดผลไม้อ่อน ๆ อย่าง AHA ร่วมกับการกดสิวเพื่อให้สิวหัวดำออกมา
-
สิวหัวขาว (Whiteheads)
‘สิวหัวขาว’ มีลักษณะเป็นสิวอุดตันหัวปิดและเป็นตุ่มนูน ๆ เมื่อลองสัมผัสดูจะรู้สึกว่าเเหมือนเป็นก้อนไตเล็ก ๆ อยู่ใต้ผิวหนัง ซึ่งสิวประเภทนี้สามารถพัฒนากลายเป็นสิวอักเสบประเภทอื่น ๆ ได้อีกด้วย โดยสาเหตุที่เกิดสิวประเภทนี้สามารถเกิดได้จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการใช้เครื่องสำอางกับสกินแคร์ที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน
วิธีรักษา : ให้ใช้ยาที่มีส่วนผสมของ Tretinoin หรือยากลุ่มวิตามินเอ แต่ก่อนใช้ยาประเภทนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพราะเป็นยารุนเเรงและอาจเกิดผลข้างเคียงได้ นอกเหนือจากนี้ให้หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบด้วย
-
สิวหัวช้าง (Cystic Acne)
‘สิวหัวช้าง’ เป็นสิวที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดโดยเริ่มแรกจะเป็นแค่สิวตุ่มแดงเล็ก ๆ ก่อน แล้วจะเริ่มขยายขนาดเป็นก้อนใหญ่คล้ายซีสต์และมีหนองข้างในสิว ซึ่งสิวประเภทนี้มักเกิดขึ้นจากการอักเสบขั้นรุนแรงบนผิว หากเอามือไปจับจะรู้สึกเจ็บมาก
วิธีรักษา : สิวหัวช้างเป็นสิวที่มีขนาดใหญ่จึงควรปรึกษาแพทย์ด้านผิวหนังโดยเฉพาะ เพราะอาจเกิดอาการอักเสบรุนเเรงทำให้รักษาได้ยากและอาจกลายเป็นแผลได้
-
สิวเสี้ยน (Comedone)
‘สิวเสี้ยน’ เป็นสิวที่มีลักษณะเหมือนเสี้ยนเล็ก ๆ ตามรูขุมขน ซึ่งเกิดจากการสะสมของชั้นขี้ไคลกับการสะสมของขนอ่อนในรูขุมขน ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นตามรูขุมขนที่มีขนาดใหญ่ เช่น จมูก คาง หน้าผาก ระหว่างคิ้ว แผ่นหลัง ต้นแขนและต้นขา เป็นต้น
วิธีรักษา : ใช้ยาทาเบนซิล เพอร์ออกไซด์ หรือยากลุ่มวิตามินเอ เพราะมันจะช่วยให้สิวเสี้ยนหลุดออกได้ง่ายแต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ในปริมาณที่ถูกต้องเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ ที่สำคัญหลังแต่งหน้าควรล้างหน้าให้สะอาดและหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางกับสกินแคร์ที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ
-
สิวตุ่มนูนแดง (Papule)
‘สิวตุ่มนูนแดง’ เกิดขึ้นจากแบคทีเรียไปอุดตันในรูขุมขน ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจึงสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวเพื่อไปต่อสู้กับแบคทีเรียชนิดนั้น จึงก่อให้เกิดเป็นสิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มสีแดงเล็ก ๆ ไม่มีหัวสิว แต่มันก็อาจร้ายแรงและพัฒนากลายมาเป็นสิวอักเสบได้
วิธีรักษา : สิวประเภทนี้จะไม่มีหัวสิวดังนั้นจึงไม่สามารถกดออกได้ แต่สามารถรักษาได้โดยการทายา Benzoyl Peroxide ที่มีฤทธิ์ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย ล้างหน้าให้สะอาดโดยใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยนและหลีกเลี่ยงการสครับหน้าออกไปก่อนเพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้
-
สิวอักเสบ (Nodular Acne)
สิวอักเสบ เกิดขึ้นมาจากเชื้อแบคทีเรียที่เข้าไปอยู่ในรูขุมขนบวกกับน้ำมันบนในหน้าที่ทำให้เกิดอาการอักเสบรุนแรงได้ มีลักษณะเป็นตุ่มแดง ไม่มีหัวสิว ขนาดใหญ่และเมื่อจับเเล้วจะรู้สึกเจ็บ
วิธีรักษา : หากรักษาผิดวิธีจะทำให้เกิดอาการอักเสบขั้นรุนแรงและทิ้งแผลเป็นไว้ได้ ดังนั้นการรักษาสิวอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการรักษาแบบถูกวิธี
-
สิวหิน (Acne Aestivale)
สิวหินหรือสิวเทียม มีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ และแข็งเหมือนผดอยู่บนใบหน้า ซึ่งมันคือเนื้องอกของต่อมเหงื่อ (Syringoma) โดยมีสาเหตุจากเวลาที่เหงื่อออกแล้วออกไม่หมด จึงทำให้เกิดการอุดตันและกลายเป็นสิวผด ใหญ่ส่วนจะพบได้ในบริเวณรอบดวงตาเพราะต่อมเหงื่อจะเยอะ
วิธีรักษา : ควรหลีกเลี่ยงการตากแดดจัด ๆ เป็นเวลานานและบางคนอาจเกิดมาจากการแพ้น้ำปะปาจึงควรล้างหน้าด้วยน้ำดื่มแทน
จะเห็นได้ว่าสิวมีหลายประเภทและแต่ละแบบนั้นก็ใช้วิธีการรักษาไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นแล้วคุณต้องลองสังเกตและรู้จักสิวที่คุณเป็นก่อนจึงจะสามารถป้องกันและแก้ไขได้อย่างตรงจุด ซึ่งปัจจุบันมีสกินแคร์และครีมบำรุงให้เลือกหลากหลายเพื่อเจาะลึกปัญหาสิวของแต่ละคน แต่หากคุณกำลังเผชิญปัญหาที่ใช้ผลิตภัณฑ์มาหลายแบรนด์ก็ยังไม่หาย แล้วอยากลองทำแบรนด์ของตัวเองเพื่อให้ผู้ที่ประสบปัญหาสิวแบบเดียวกันได้ใช้เพื่อแก้ปัญหาสิวได้ตรงจุดก็สามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ โดยวันนี้เราจะมาเผยขั้นตอนเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการสร้างแบรนด์ครีมกัน
TIPS ขั้นตอนการสร้างแบรนด์ครีม
-
ค้นหากลุ่มเป้าหมาย
อันดับแรกเจ้าของแบรนด์ต้องคิดก่อนว่าอยากทำผลิตภัณฑ์ออกมาเพื่อใคร สำหรับคนเป็นสิว สำหรับคนอยากหน้าขาว สำหรับคนที่ต้องการบำรุง ฯลฯ และกลุ่มลูกค้าเป็นช่วงวัยไหน เพศไหน ราคาขายและวัตถุดิบเป็นอย่างไร ซึ่งในส่วนตรงนี้คุณสามารถปรึกษากับโรงงานผู้ผลิตได้
-
เลือกสูตรของผลิตภัณฑ์
เมื่อลูกค้าทราบความต้องการของตัวเอง ต่อไปจะเป็นขั้นตอนการเลือกสูตรสำหรับผลิตภัณฑ์ซึ่งทางโรงงานก็มักจะมีสูตรกลางสำหรับผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ไว้ให้ลูกค้าอยู่แล้ว เจ้าของแบรนด์สามารถเตรียมชื่อผลิตภัณฑ์และทำการขอยื่น อย. เพื่อเตรียมขายเลยได้
-
พัฒนาสูตรเป็นของตัวเอง
หากเจ้าของแบรนด์รู้สึกว่าสูตรกลางของโรงงานยังไม่โดนใจ ลูกค้าสามารถปรับพัฒนาสูตรได้ตามต้องการ โดยแต่ละโรงงานก็จะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางให้คำปรึกษาและแนะนำว่าต้องใส่ส่วนผสมอย่างไรหรืออะไรบ้างถ้าลูกค้าต้องการคุณสมบัติที่พิเศษและโดดเด่น ส่วนใหญ่จะใช้เวลาในการพัฒนาสูตรประมาณ 1–2 อาทิตย์
-
ทำการตลาด
ระหว่างรอสินค้าผลิต เจ้าของแบรนด์สามารถปรึกษาและทำการตลาดกับโรงงานได้เลยว่าต้องการขายช่องทางไหน ต้องการทำโฆษณาในส่วนไหนบ้าง ซึ่งบางโรงงานจะมีผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาโดยเฉพาะแต่อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
-
เลือกบรรจุภัณฑ์
หลังจากได้สูตรที่ต้องการแล้ว ต่อไปก็เป็นการเลือกบรรจุภัณฑ์ ออกแบบโลโก้และเลือกกล่องผลิตภัณฑ์โดยบางโรงงานสามารถออกแบบและติดต่อพาร์ทเนอร์เพื่อทำการผลิตให้ได้เลย
-
ขึ้นทะเบียนสินค้า
เมื่อการออกแบบบรรจุภัณฑ์และเลือกสูตรสำหรับผลิตภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็นำข้อมูลของสินค้าไปขึ้นทะเบียน อย. โดยบางโรงงานจะดำเนินการตรงส่วนนี้ให้ได้เลยแต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเช่นกัน
-
เริ่มผลิตสินค้า
หลังจาก อย. ผ่านแล้ว ก็สามารถเริ่มสั่งทำกล่องบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ และเริ่มผลิตสินค้าได้เลย
เห็นไหมละว่าการสร้างแบรนด์ครีมเป็นของตัวเองไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลย ที่สำคัญคุณสามารถปรับพัฒนาสูตรให้ตรงกับปัญหาและความต้องการของตัวเองได้ หากสินค้าโดดเด่นและมีคุณสมบัติพิเศษที่ไม่ซ้ำใครรับรองได้เลยว่าผลิตภัณฑ์ของคุณต้องขายดีอย่างแน่นอน แต่อย่าลืมเลือกโรงงานรับผลิตครีมที่ได้มาตรฐานและมีใบรับรองต่าง ๆ เพื่อยืนยันว่าสินค้าของคุณได้คุณภาพระดับสากลจริง ๆ
อ้างอิง :